บอกตามตรง ตอนแรกก็ว่าจะยังไม่ดู เพราะอยากดูรวดเดียวจบ แต่อดใจไม่ไหวจริงๆ ค่า ตี๋นัมจูหล่อลากมาก หล่อพร่ำเพรื่อมาก ☺️ ภาพว่อนโซเชียลซะจนต้องดูสองตอนรวด
เมื่อดูไป ความชอบที่มีต่อเรื่องนี้ กลับไม่ได้มีแต่ความหล่อของนัมจูฮยอก ผู้รับบทพระเอกอย่างแพคอีจินเท่านั้นนะ แต่เนื้อเรื่องและคิมแทรี หรือ นาฮีโดในเรื่องก็เป็นจุดที่ทำให้เรายิ้มทั้งเรื่อง ฮีลลิ่งเราไปด้วย
ตั้งแต่คำโปรยทีเซอร์ที่ออกมา…
เราพบกันครั้งแรกเมื่ออายุ 22 และ 18
เราตกหลุมรักกันครั้งแรกเมื่ออายุ 25 และ 21
ซีรี่ส์เล่าเรื่องย้อนเหตุการณ์ยุค 90 ให้เราได้ดู ขณะเดียวกันก็แฝงกลิ่นอายฟีลกู้ด และ อุ่นๆ หัวใจ ท่ามกลางวิกฤตของยุคสมัยและสังคมที่บีบบังคับให้เราต้องเลือกความฝัน หรือ บางครั้งก็พรากความฝันเราให้ห่างออกไปจากเดิม
ซีรี่ส์เรื่องนี้กล่าวถึง เรื่องราวของแพคอีจิน (รับบทโดย นัมจูฮยอก) และ นาฮีโด (รับบทโดย คิมแทรี) ท่ามกลางวิกฤตทางการเงิน IMF กับวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1998 ที่ทำให้สูญเสียความฝันและเส้นทางการดำเนินชีวิตที่เคยมี บ้านแพคอีจินล้มละลาย จากที่เคยเป็นหนุ่มหล่อ รวย สปอร์ต สาวถึงกับโยนโทรศัพท์จีบ ไม่ขอล่ะเบอร์ โยนโทรศัพท์ให้ไปเลย กลับต้องชีวิตพลิกพลัน บ้านล้มละเลาย ครอบครัวกระจัดกระจายไปอยู่คนละที่ แบกรับความกดดันจากคนรอบข้างที่ไ้ดรับผลกระทบจากการที่บ้านตัวเองล้มละลาย กลายเป็นต้องทำงานพาร์ทไทม์สารพัดอย่าง
ขณะที่นางเอก นาฮีโด ผู้ที่มีความฝันอยากเป็นนักกีฬาฟันดาบ โรงเรียนที่เรียนอยู่นั้นยุบชมรมทิ้ง ต้องหาทางเพื่อไขว้ขว้าความฝันให้กลับคืนมา ทำทุกทางจนได้ย้ายโรงเรียนไปยังโรงเรียนที่มีชมรมฟันดาบ นอกจากนี้ยังพูดถึงเรื่องราวของมิตรภาพด้วย
ความรู้สึกเมื่อได้ดู แม้ซีรี่ส์จะเพิ่งฉายไป 2 ตอน แต่เราดูแล้วกลับได้ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา รวมทั้งนี่มันซีรี่ส์ที่เรียลจริงๆ ในความรู้สึก เปิดตอนมาแอบสร้างปมทิ้งไว้นิดๆ เกี่ยวกับลูกสาวนางเอก ปมอะไรลองไปสังเกตกันดู แต่เรายังไม่อยากคาดเดานัก ซีรี่ส์เกาหลีหลอกเก่งเหมือนกัน ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดออกมาผ่านสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องเผชิญจริงๆ
เนื้อหาหลักเล่าย้อนไปยังปี 1998 ก็ทำให้เห็นวิกฤตการณ์ IMF ที่ส่งผลต่อผู้คนในเกาหลีตอนนั้น ดูไปยิ้มไป เป็นซีรี่ส์ที่ฮีลลิ่งได้ดีจริงๆ แม้จะท่ามกลางวิกฤตก็เถอะ
โดยเนื้อหาที่จะรีวิวต่อไปนี้ ผู้เขียนจะไม่ได้สปอยด์อะไรมาก เพราะอยากให้ดูกันเองนะคะ แต่จะขอแทรกเนื้อหาซีนที่ทำเราอินมากๆ ไว้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น
มีบางตอนที่บีบใจเรามาก ตอนที่มีลุงสองคนมาตามหาพ่อพระเอกเพราะล้มละลาย ทำให้เดือดร้อนไปด้วย และพระเอกพูดว่า “ผมจะไม่มีความสุขอีกเลย” ตอนนั้นคือแบบ พระเอกที่เป็นเด็กผิดอะไร เพราะยุคสมัยไม่ใช่เหรอ เพราะวิกฤตมันทำให้เกิดการล้มละลายไปต่อไม่ได้ มันเป้นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่กลับต้องยอมแบกรับ บีบคั้นใจเราจนน้ำตานองไปด้วยเลย ถึงแม้จะมีวิกฤต แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดในตัวแพคอีจิน คือ ความเข้มแข็งที่พยายามก้าวต่อไปให้ดีที่สุด และ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
แต่ถึงแม้จะมีวิกฤตและสงสารพระเอก ท่ามกลางชะตาพลิกผันของแพคอีจิน ก็ยังมีแสงสว่างของนาฮีโดอยู่ข้างๆ นะ ชอบคำพูดของนางเอกมากๆ ในเรื่องที่เหมือนส่งพลังให้พระเอกยิ้มได้เลย นางเอกพูดว่า “ยุคสมัยบีบให้เรายอมทิ้งทุกอย่าง แล้วนายจะยอมทิ้งความสุขไปด้วยได้ไง นายมีสิทธิ์แอบมีความสุขได้นะ”
บางเรื่องเราก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นเหตุการณ์ที่บีบบังคับเราให้เกิดขึ้นเช่นนี้ “ความสุข” ก็เป็นสิ่งล้ำค่าในช่วงเวลาที่ทุกอย่างยากไปหมด แล้วเราจะยอมให้มันหายไปได้ยังไงกัน
เหมือนได้ย้อนดู Reply 1988 เรื่องราวแม้จะไม่ได้เหมือนกัน แต่ฟีลลิ่ง Mood & Tone ที่เล่าเรื่องยุค 90 เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเห็นภาพ การแชทผ่านคอมพิวเตอร์ที่ยุคนึงเคยบูมมากๆ โทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่ เพจเจอร์ ตลับเทป ซาวด์เบ้าท์ รวมทั้งกระเป๋าเป้ outdoor ที่หลายๆ คนเคยมี มันคือความทรงจำของคนเกิดยุค 90 จริงๆ
นับว่าเป็นซีรี่ส์ฟีลกู้ดที่มีความเรียลในเนื้อหา อยากให้ทุกคนลองหาเวลาดูกันจริงๆ บทสรุปของรีวิวนี้ อยากบอกว่านัมจูหล่อมาก คิมแทรีแสดงน่ารักมาก เป็นเรื่องนี้เรียกว่าโดนตกไปหมดเลย ทั้งความหล่อของนัมจู ดาเมจทุกลุคไปเลย ขนาดล้มละลายแล้ว ตี๋ยังหล่อไม่บันยะบันยัง ความสดใสของคิมแทรี คือยิ่งกว่าแสงอาทิตย์อีกมั้ง สดใสและพลังล้นเหลือมาก ขณะเดียวกันนักแสดงคนอื่นๆ ก็มีเรื่องราวที่ต้องพบเจอแตกต่างกันไป ทำให้เราอยากติดตามกันต่อไปว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ผ่านตัวละครเหล่านี้
สุดท้ายนี้อยากบอกว่า วาร์ปไปวันเสาร์-อาทิตย์เลยได้ไหมนะ รออีพีต่อไปไม่ไหวแล้วจ้า