เชื่อว่าคนที่เดินทางผ่านไปผ่านมาบริเวณรถไฟฟ้า BTS, และ รถไฟใต้ดิน MRT ต้องเคยเห็นตู้ล็อกเกอร์สีเหลืองที่มีชื่อว่า LOCK BOX ตั้งวางอยู่แน่ๆ ดูก็รู้แหละว่าใช้สำหรับฝากสิ่งของให้กับนักท่องเที่ยว หรือ ใครที่มีสัมภาระเยอะๆ ก็สามารถฝากเอาไว้ได้ก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาได้ จะได้ไม่เป็นภาระเวลาเดินทาง ว่าแต่ก่อนจะฝาก มันใช้งานยังไงกัน หลายคนอาจยังไม่รู้ ได้แต่เดินผ่านไปผ่านมา ว่าแล้ววันนี้ Jeab.com เลยถือโอกาสมารีวิวให้เพื่อนๆ ดูกันค่า เพราะใครจะรู้ ในอนาคต เราอาจมีสัมภาระเยอะแยะจนต้องฝากไว้ในล็อกเกอร์ก่อนเดินทางไปเที่ยว แล้วกลับมาเอาอีกรอบก็ได้ เพราะฉะนั้น รู้ไว้ได้ใช้ประโยชน์ มาดูกันค่ะว่าถ้าจะใช้ LOCK BOX ต้องทำอย่างไร
ลองสมมติเหตุการณ์กันก่อน สมมติว่า…วันนี้เราแบกของมาจากบ้านเยอะมาก แต่ว่าบังเอิญดันเจอเพื่อนพอดี และด้วยความที่เม้าท์ติดลม เลยจะไปหาที่นั่งเม้าท์กันนานๆ หน่อย แต่ไม่อยากแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไปด้วย บังเอิญเห็น LOCK BOX พอดี ถ้างั้นขอฝากของไว้ที่ LOCK BOX ก่อนแล้วกัน…
REVIEW วิธีและการใช้งาน LOCK BOX
PART 1 : ฝากของ
นี่คือตู้ล็อกเกอร์สีเหลือง LOCK BOX ที่เราจะมารีวิวในวันนี้กันค่า ส่วนใหญ่เราจะเห็นมันตั้งอยู่บริเวณทางเดินของ BTS หรือ MRT
สังเกตดูจะเห็นว่าแต่ละตู้ล็อกเกอร์มีขนาดต่างกัน โดยตู้จะมีขนาดทั้งหมด 4 ขนาด คือ S,M,L,XL และก็มีเบอร์ตู้กำกับไว้ เนื่องจากเรามีแค่กระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นขนาดของตู้ล็อกเกอร์ที่เราเลือกก็เลยจะเป็นตู้ขนาด S นั่นเอง
ค่าบริการของตู้ล็อกเกอร์
o ขนาด S = ราคา 20 บาท / ชั่วโมง หรือ ราคา 120 บาท / วัน (24 ชั่วโมง)
o ขนาด M = ราคา 30 บาท / ชั่วโมง หรือ ราคา 180 บาท / วัน (24 ชั่วโมง)
o ขนาด L = ราคา 40 บาท / ชั่วโมง หรือ ราคา 240 บาท / วัน (24 ชั่วโมง)
o ขนาด XL = ราคา 50 บาท / ชั่วโมง หรือ ราคา 300 บาท / วัน (24 ชั่วโมง)
♥ เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกตู้ขนาดไหน ก็กดที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงกลางตู้ล็อกเกอร์สีเหลือง เพื่อเข้าสู่การใช้งานได้เลย
♥ เริ่มจากเมื่อสัมผัสหน้าจอไปแล้ว ระบบจะถามว่า ‘ฝากของ’ หรือ ‘นำของออก’ ตอนนี้เรามาฝากของก็คลิกที่ปุ่มได้เลย
♥ เมื่อคลิก ‘ฝากของ’ แล้ว ระบบจะแสดงหน้าจอที่บอกว่ามีตู้ล็อกเกอร์ตำแหน่งใดบ้างที่ว่างอยู่ ซึ่งตรงนี้เราเลือกที่จะฝากขนาด S ก็คลิกที่ล็อกเกอร์ที่มีขนาดที่ต้องการ จากนั้นระบบจะให้เราเลือกว่าจะเช่าล็อกเกอร์นานขนาดไหน เป็นรายชั่วโมง หรือ เป็นรายวัน ก็คลิกได้เลย ด้วยความที่เราต้องการเช่าไม่นาน ไปธุระเม้าท์มอยแปปเดียวกลับมาก็เอากระเป๋าต่อ จึงเลือกเป็นเช่ารายชั่วโมง ขนาด S ก็ 20 บาทต่อชั่วโมง
♥ เสร็จแล้วระบบจะถามเราอีกครั้งว่ายืนยันรึเปล่า ถ้ายืนยันก็กดคอนเฟิร์มได้เลย
♥ เมื่อยืนยันแล้ว ระบบจะให้เรากรอกเบอร์โทรศัพท์ เพื่อใช้ยืนยันกรณีที่เราลืมรหัสผ่าน
♥ จากนั้นระบบจะให้เลือกช่องทางการชำระเงิน สามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายเงินแบบไหน จ่ายได้ 4 วิธี
- เงินสด
- Lockbox Wallet
- Rabbit line pay
- WeChat Pay
ทั้งนี้สำหรับการจ่ายเงินสด ระบบจะไม่รับธนบัตร 1,000 บาทนะคะ และจะถอนเงินเป็นเหรียญ 10 เท่านั้นนะคะ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการฝากด้วยธนบัตร 500 บาท โดยเงินทอนจะได้รับก็ต่อเมื่อ เรากดนำของออกจากตู้แล้วเท่านั้น* อย่าลืมจำตรงนี้ให้ดีด้วยนะ
♥ เลือกชำระเงินตามวิธีที่ต้องการ จากนั้นก็ตั้งรหัสผ่าน สำหรับใช้ตอนเราเอาของออก โดยรหัสผ่านสามารถตั้งได้ตั้งแต่ 4 หลักขึ้นไป
เลือกขนาดตู้ล็อกเกอร์เรียบร้อยแล้ว กดเลือกตู้ที่ว่างอยู่เสร็จ ยืนยันเบอร์โทรศัพท์ ทำครบทุกขั้นตอนแล้ว ตู้ล็อกเกอร์ที่เราเลือกไว้ ก็จะเปิดตู้ออกมา ให้เราสามารถนำเอาของไปฝากได้
ที่นี้ ย้ายตัวเองมาที่หน้าตู้ล็อกเกอร์ของเราได้เลยค่ะ
♥ จัดการใส่กระเป๋าตู้ เมื่อปิดตู้ ระบบก็จะล็อกอัตโนมัติ และเริ่มนับเวลาการฝากของ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการฝากของ
PART 2 : นำของออก
เที่ยวเสร็จแล้ว กลับมายังที่ LOCK BOX ที่เก่า จะเอาของที่ฝากไว้ออกยังไง ตามมาดูกันต่อ
♥ เริ่มจากคลิกที่หน้าจอเช่นเคย กดเลือก ‘นำของออก’
♥ ระบบจะให้เราเลือกตู้ล็อกเกอร์ที่ต้องการเปิดออก จากนั้นให้ยืนยันรหัสผ่านที่ตั้งไว้ เท่านี้ก็จะเปิดตู้เอาของออกมาได้แล้วล่ะค่ะ
เป็นยังไงบ้างคะ วิธีการใช้งาน จริงๆ ไม่ยากเลย แถมในหน้าจอก็จะมีบอกขั้นตอนต่างๆ เอาไว้ให้เสร็จสรรพ งานนี้ใครที่ชอบเดินทาง แบกของเยอะๆ ล่ะก็ มีที่ฝากของแล้วนะ หรือ หากเจอนักท่องเที่ยวมาสอบถามที่เก็บกระเป๋า ก็สามารถแนะนำ LOCK BOX ให้พวกเขารู้จักได้เลยค่า มีหลายจุดที่บริการ ดูตามภาพด้านล่างได้เลย
นอกจากจะเป็นตู้ล็อกเกอร์เก็บของแล้ว ที่จริง มุมนี้ก็ถ่ายรูปสวยไม่เบาด้วยนะ เก๋ๆ ดีจ้า ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย เริ่ดเลย
Copyright © Jeab.com