ในวันฝนตกปรอยๆ บรรยากาศดูอึมครึม วันนี้เรามีนัดคุยกับคุณยูน ปัณพัท เตชเมธากุล นักวาดภาพประกอบที่ถือเป็นหนึ่งในตัวท็อปของวงการ เชื่อว่าผลงานของเธอต้องเคยผ่านตาทุกคนมาแล้วสักชิ้น ไม่ว่าจะตามห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้าใต้ดิน บนแพคเกจจิ้งกาแฟยี่ห้อหนึ่ง โดยเฉพาะการร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Gucci ที่มีจุดเริ่มต้นจากโพสเพียงโพสเดียวในอินสตาแกรม
แม้ว่าบรรยากาศภายนอกจะไม่สดใสเท่าไรนัก แต่พื้นที่ที่เธอเปิดต้อนรับกลับเต็มไปด้วยดอกไม้ ใบไม้ และสิงสาราสัตว์ในภาพวาด ผลงานแต่ละชิ้นของเธอมีลายเส้นและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ แถมยังมีเรื่องราวปรัชญาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ทำให้เกิดคำถามว่าถ้าให้เธอเปรียบชีวิตเป็นเหมือนผืนผ้าใบ รูปวาดในนั้นจะมีอะไรบ้างนะ
“ถ้าให้ลองวาดภาพเล่าชีวิตของตัวเองในแต่ละช่วง จะเป็นภาพแบบไหน…?” คำถามนี้กลายเป็นคำถามเดียวตลอดการสนทนา
ภาพธรรมชาติ
“จุดเริ่มต้นของการวาดรูปครั้งแรก จำได้ว่าตอนนั้นอายุประมาณ 4 ขวบเป็นช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ที่บ้านทำเสื้อผ้าขายเลยได้เจอกับพี่ใจที่มารับจ้างติดกระดุม พอมีเวลาว่างเขาก็จะนั่งวาดรูป เราเห็นก็เลยสนใจ รูปที่เขาวาดก็เป็นภาพธรรมชาติแต่ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นมา บ้านที่วาดเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู มีประตูแบบญี่ปุ่น มีภูเขา มีนก มีต้นไม้ มีรายละเอียดเต็มไปหมด จึงขอให้เขาสอน นับจากวันนั้นก็ไม่มีวันไหนที่เราไม่ได้วาดภาพอีกเลย ของสะสมวัยเด็กเลยกลายเป็นดินสอเปลี่ยนไส้ สมุดฉีก ดินสอสี”
“โตมาหน่อยอยู่ชั้นประถมถึงเริ่มอ่านหนังสือ แรกๆ ก็เป็นการ์ตูนขายหัวเราะ หนูหิ่นอินเตอร์ สาวดอกไม้กับนายกล้วยไข่ แล้วถึงขยับไปเป็นวรรณกรรมเยาวชน นอกจากนี้เราก็ยังเล่นเกมที่ฮิตในยุคนั้นด้วย อย่างเกมบอยโปเกม่อน การ์ดเกมยูกิ หรือการ์ดเกมซัมมอนเนอร์มาสเตอร์ ตรงนี้นี่เองที่ทำให้เราได้เห็นผลงานการวาดภาพของศิลปินคนอื่นมากขึ้น ได้เห็นลายเส้นที่แปลกใหม่ แตกต่าง ทำให้เราฝึกวาด ฝึกลงสี และเล่าเรื่องผ่านภาพให้ได้อย่างเขา”
ภาพกลมๆ เหมือนขนมโมจิ
“ถ้าให้วาดภาพตัวเองตอนเด็ก ก็คงเป็นอะไรกลมๆ นั่งเงียบๆ อยู่มุมห้อง เพราะเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย ตอนอนุบาลจำได้ว่าเรากล้าแสดงออกมาก แต่พอขึ้นประถมความมั่นใจของเราหายไปหมด ส่วนหนึ่งคงเพราะต้องตัดผมสั้น ใส่ชุดนักเรียน ทำทุกอย่างอยู่ในกรอบจนไม่ได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนต่อต้านอะไรอยู่แล้ว พอเขาให้ทำอะไรเราก็ทำตามนั้น จนขาดอิสระที่จะคิดทำอะไรแตกต่าง พอไม่มีตรงนั้นมันก็ขาดความมั่นใจไปโดยปริยาย”
“ตัวตนของเราจริงๆ เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบเลย ไม่ชอบอะไรที่เป็นระเบียบแบบแผน ตอนกำลังจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ตอนแรกมีความคิดจะเรียนคณะสถาปัตย์ แต่พอไปติวแล้วไม่ใช่ตัวเราเลย เพราะทุกอย่างเป็นเส้นตรง เป็นสี่เหลี่ยม เป็นเส้นกริด เลยตัดสินใจเรียนต่อคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบแฟชั่นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแทน แฟชั่นทำให้เราได้เป็นตัวของตัวเองระดับหนึ่ง ในแง่ของผลงานที่เราสร้างสรรค์ได้เต็มที่ แต่กรอบในชีวิตจริงก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะชุดยูนิฟอร์มที่ต้องใส่อยู่ดี ทำให้คิดแค่ว่าตั้งใจเรียน ทำโปรเจ็กต์ให้จบ แล้วก็หางานทำ”
ตัวตนของเราจริงๆ เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบเลย ไม่ชอบอะไรที่เป็นระเบียบแบบแผน
ดอกไม้ที่กลัวฝน
“เรารู้สึกถึงความอิสระและเป็นตัวของตัวเองจริงๆ ก็ตอนเรียนจบและทำงานแล้ว ช่วงนั้นเพิ่งได้เริ่มกล้าที่จะแต่งตัว เริ่มรู้จักตัวเองจริงๆ คิดว่าอาจจะช้าไปสำหรับบางคน แต่สำหรับตัวเองถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เคยคุยกับตัวเองหลายครั้งว่าต้องก้าวข้ามความไม่มั่นใจนี้ไปให้ได้ ต้องไม่ทนอยู่ในสภาพแบบนี้อีกต่อไป เพราะความขี้อายมันขัดกับเส้นทางอาชีพที่เราจะเป็น การเป็นดีไซเนอร์ เป็นนักวาดภาพต้องกล้าคิด กล้าสื่อสาร กล้าที่จะแตกต่าง
ชีวิตในช่วงนั้นเราคงเปรียบเหมือนดอกกุหลาบที่กำลังกางร่มเพราะกลัวสายฝน กว่าจะรู้ตัวอีกทีดอกไม้รอบข้างก็บานไปหมดแล้ว เหลือแค่เราที่ยังไม่บาน จึงต้องเอาร่มที่เราคิดมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัยออกไป เราจึงได้บาน ได้เติบโตอย่างเต็มที่ และเป็นตัวของตัวเองจริงๆ”
เราคงเปรียบเหมือนดอกกุหลาบที่กำลังกางร่มเพราะกลัวสายฝน กว่าจะรู้ตัวอีกทีดอกไม้รอบข้างก็บานไปหมดแล้ว เหลือแค่เราที่ยังไม่บาน
นกฮัมมิ่งเบิร์ด
“หลังจากเรียนจบแล้วก็ได้ทำงานที่แรกเลยกับแบรนด์ Kloset ชีวิตในช่วงนั้นก็คงเหมือนกับนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่ต้องขยับปีกอยู่ตลอดเวลา เพราะแม้เรามีงานประจำทำแต่ก็ยังหารายได้เสริมอยู่ ตอนเช้าไปทำงานที่ Kloset ตอนเย็นต้องไปเปิดร้านที่สวนจตุจักร ตอนนั้นยอมรับว่าเหนื่อยมาก แต่ก็สอนอะไรเราหลายอย่างเหมือนกัน”
“ทำงานได้ 5 ปี เราก็ได้ขึ้นเป็น Creative Director ที่ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่สุดของสายอาชีพนี้แล้ว เราได้ทำงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ได้มองภาพรวมของการออกแบบเสื้อผ้าที่ต้องสื่อสารถึงคนใส่มากกว่าแค่ตามกระแส ได้เรียนรู้เยอะมากเพราะมองว่าที่นี่คือโรงเรียน ทำให้วันหนึ่งเราตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไรดี เพราะสิ่งที่เรากลัวคือการหยุดอยู่กับที่ บวกกับได้อ่านหนังสือเรื่อง ‘การลาออกครั้งสุดท้าย’ ก็เลยติดสินใจลาออกเพราะคิดว่าเราได้จบการศึกษาจากที่นี่แล้ว”
วันหนึ่งเราตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะพัฒนาตัวเองต่อไปอย่างไรดี เพราะสิ่งที่เรากลัวคือการหยุดอยู่กับที่
เสือโคร่ง
“ถึงแม้ว่าเราลาออกแล้ว แต่ก็ยังมีอาชีพเสริมที่ต้องรับผิดชอบอยู่ จำได้ว่าตอนนั้นนั่งเฝ้ารอลูกค้าที่อยู่ที่ร้านตรงจตุจักรแล้วไม่มีอะไรทำ ก็เลยหยิบปากกามาวาดรูปฆ่าเวลา นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเพิ่งมีแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นใหม่ของ Gucci Cruise 2016 ที่ออกแบบโดย Alessandro Michele ซึ่งเราชอบมาก มีความโรแมนติกสุดๆ แต่คนอื่นกลับด่าผลงานของเขา เราอยากให้กำลังใจก็เลยวาดรูปเสือโคร่งใส่ชุดปักลูกไม้สีเหลืองกำลังอ้าปากกินผลไม้ลงสมุดวาดธรรมดา ใช้มือถือถ่ายง่ายๆ แล้วอัพลงอินสตาแกรมและแท็กชื่อเขาไป วันต่อมาก็มี DM มา ติดต่อจาก Gucci เขาขอข้อมูลติดต่อเราเอาไว้ เผื่อจะได้ร่วมงานกันในอนาคต”
View this post on Instagram
💙 #guccicruisenyc #sketch #fashionillustration #sketchbook #illustration #gucciresort2016
“หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี Gucci ก็ติดต่อกลับมา ให้เราทำภาพโปรโมตคอลเล็กชั่น Gucci Tian ในอินสตาแกรม ส่วนโปรเจ็กต์ใหญ่จริงๆ คือหนังสือภาพโปรโมต Gucci Jewelry Collection ‘Le Marche des Marveilles’ ที่ทำเป็นหนังสือนิทานซึ่งให้เราออกแบบทั้งเล่ม สร้างตัวละครเอง แต่งเรื่องเอง รวมวาดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวอีกด้วย”
“การร่วมงานกับ Gucci เป็นอะไรที่สนุกและอิสระมากๆ เพราะเขาไว้ใจเรา 100% ซื้อทุกอย่างที่เราเสนอ เพราะเขาอยากให้เราเป็นตัวเองมากที่สุด อย่างเช่นภาพปลาโลมารักกับเสือดำ ตรงคอของปลามีคำว่า LOVER อยู่ ในความเป็นจริงต้องเป็น LOVED เพราะเป็นคีย์เวิร์ดของคอลเล็กชั่นนั้น พอเราอธิบายว่ามันดูเป็นคู่รักกันมากกว่า ทาง Gucci ก็รับฟัง”
“เราทำงานกันผ่านอีเมลล์ทั้งหมด ไม่ว่าจะรับบรีพ เสนอไอเดีย รวมถึงส่งงาน จริงๆ ไม่ได้เก่งภาษามาก แต่โชคดีที่มีคุณออสซี่ (อรช โชลิตกุล) มาช่วยแปลและแต่งเรื่องในนิทานเล่มนี้ให้ หลังจากนั้นก็ได้ร่วมงานกับ Gucci อีกหลายชิ้น อย่างเช่นโฆษณาน้ำหอม Gucci Acqua Di Fiori ที่เอาเรื่องตัวเองมาถ่ายทอด รวมถึง Gucci DIY ด้วย ”
Gucci Tian
Gucci DIY
นอกจาก Gucci แล้ว เธอยังเคยได้เป็นหนึ่งในศิลปินที่ให้สัมภาษณ์กับ Instagram และร่วมออกแบบ Backdrop ให้กับงานที่นิวยอร์กอีกด้วย รวมถึงผลงานหลายชิ้นของเธอยังได้ขึ้น Art Wall ในออฟฟิศของ Gucci หลายแห่งทั่วโลก
สายรุ้ง….แห่งความฝัน
“หลังจากที่ลาออกมาเราวางแผนที่จะเปิดบริษัท มีอยู่วันหนึ่งบังเอิญได้ยินเพลง If You Want The Rainbow (You Must Have The Rain) ของ Norah Jones ทำให้นึกได้ว่าตอนสมัยเรียนเคยอยากมีบริษัทชื่อ Rainbow of Dream เลยตัดสินใจใช้ชื่อบริษัทว่า ‘สายรุ้งแห่งความฝัน’ เพราะกว่าที่เราจะเจอสิ่งที่สวยงามมันก็ต้องผ่านอะไรมามากมาย”
“เราเคยมีประสบการณ์ในการบริหารมาบ้างตอนทำงานที่เดิม เลยพอที่จะรู้ว่าภาพรวมของบริษัทว่าควรเป็นอย่างไร อะไรที่ควรทำให้ถูกต้อง อะไรที่ต้องรับผิดชอบบ้าง ในบริษัทมีกันแค่ 4 คน แต่เรามีพาร์ทเนอร์ที่ไว้วางใจและสามารถดึงตัวมาร่วมงานกันได้ งานที่เราทำได้เลยมีหลากหลาย ตั้งแต่งานคอลาบอเรชั่น ออกแบบลายผ้า แฟชั่นดีไซน์ ตอนนี้ก็กำลังมีงานตกแต่งภายในเข้ามาด้วย”
กว่าที่เราจะเจอสิ่งที่สวยงามมันก็ต้องผ่านอะไรมามากมาย
ผลงานล่าสุดของเธอคือการร่วมงานกับแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดัง Sulwhasoo ในการออกแบบเพจเกจจิ้ง Holiday Collection 2020 อีกด้วย
Venus In The Shell
ในขณะที่สายรุ้ง…แห่งความฝันกำลังดำเนินไปด้วยดี ผืนผ้าใบของเธอก็พอที่จะมีพื้นที่ว่างให้ได้แต่งเติมอีกภาพลงไป
ชีวิตในช่วงนี้เธอเปรียบตัวเองเหมือนกับภาพของเทพวีนัสในเปลือกหอย เพราะเธอกำลังซุ่มทำนิทรรศการศิลปะที่ชื่อ ‘Venus In The Shell’ อยู่ ซึ่งจะจัดที่ River City BANGKOK ในช่วงมกราคมปีหน้า 2021
สุดท้ายท้ายสุดเธอยังฝากแนวคิดถึงคนที่กำลังหัดวาดภาพของตัวเองอยู่
“ลองวาดไปเรื่อยๆ คุยกับตัวเองบ่อยๆ จะทำให้รู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คิดแล้วต้องลงมือทำและอย่าลืมจดบันทึกด้วย แล้วก็ต้องดื้อหน่อย หัดจิตแข็งบ้าง ผลงานชิ้นแรกๆ มันคงไม่เพอร์เฟค 100% อย่าเพิ่งท้อกับคำวิจารณ์ที่ได้รับ หาทางพัฒนาตัวเองให้เป็นตัวเองที่สุด อย่าโอนเอนไปตามกระแสเพื่อเอาใจใคร เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะโดนกลืน แล้วก็อย่าลืมที่จะหาค้นหาและสร้างโอกาสให้ตัวเองด้วย”
เราทุกคนต่างผืนผ้าใบเป็นของตัวเอง รูปวาดในนั้นก็แตกต่างกันไป บ้างรูปอาจจะวาดด้วยมือแต่บางรูปอาจจะใช้ไม้บรรทัดช่วย บางรูปอาจจะลงด้วยสีสดใส แต่บางรูปก็สีขาวดำ แต่ถึงจะเป็นแบบไหนก็ฝีมือเราทั้งนั้น ใครจะมาช่วยวาดภาพของได้…
Copyright © Jeab.com