ใครคิดว่าอาหารดีๆ พอกินเยอะขึ้น ก็จะได้ประโยชน์ที่มากขึ้นกันบ้างคะ รู้มั้ยว่าเป็นความคิดที่มีทั้งถูกและผิด เพราะอาหารดีๆ บางอย่างก็ใช่ว่ากินเยอะขึ้นแล้วจะดีต่อเรื่องกาย บางอย่างก็ทำให้ร่างกายแย่ลงได้เช่นกัน แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ แต่ก็ต้องกินกันในปริมาณที่เหมาะสม มากไปก็ไม่ดี ดังนั้นวันนี้เราก็ได้นำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ 5 อาหารดีๆ ที่กินเยอะไปก็ ‘ไม่ดี’ มาฝากให้ได้ชมกันด้วยค่ะ ไปดูสิคะว่าอาหารทั้ง 5 อย่างนั้นมีอะไรกันบ้างที่กินมากไปก็ไม่ดี
มะละกอ
มะละกอ ผลไม้ดี มีประโยชน์มากมายไขมันและคอเลสเตอรอลน้อยและยังดีต่อระบบขับถ่าย จึงมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเมื่อระบบขับถ่ายดีขึ้นนั้น โรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารนั้นก็พลอยจะบรรเทาลงไปด้วย หากต้องการจะกินมะละกอเป็นผลไม้ลดน้ำหนักนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด แต่ก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป เพราะถ้ากินมากเกินไปมะละกออาจทำให้คุณมีผิวที่เหลืองขึ้นได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ และนอกจากนี้มะละกอยังมีวิตามินเอสูง ถ้ากินมากไป มีความเสี่ยงต่อกระดูกและข้อต่อ อาจมีอาการเบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก
ส้ม
ใคร ๆ ก็รู้ว่ากินส้มเยอะ ๆ แล้วจะช่วยให้ผิวดี ระบบขับถ่ายดี เพราะส้มจัดเป็นผลไม้ประเภทหนึ่งที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งวิตามินซีมีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย, ป้องกันอนุมูลอิสระ, ต่อต้านโรคหัวใจ, ช่วยให้สุขภาพเหงือกแข็งแรง ทั้งยังโด่งดังเรื่องบรรเทาอาการหวัด แต่การได้รับปริมาณวิตามินซีมากเกินไป มากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวันต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ รวมถึงหากรับประทานวิตามินซีมากเกิน 1,000 มิลลิกรัม ยังอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย และหากทานตอนท้องว่างก็อาจเกิดการระคายเคืองในทางเดินอาหาร เนื่องจากความเป็นกรดของวิตามินซี ทั้งยังอาจเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือถึงขั้น คลื่นไส้ อาเจียนได้ด้วย
ทูน่า
ทูน่า ปลาทะเลน้ำลึก หนึ่งในอาหารทะเลมีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำ มี DHA (DOCOSAHEXAENOIC ACID) ซึ่งมีประโยชน์โดยตรงกับสมอง ช่วยบำรุงเซลล์สมอง และเสริมสร้างความจำ แต่แม้ปลาทูน่าจะมีคุณประโยชน์สูง แต่สำหรับสำหรับสตรีมีครรภ์ เด็กเล็ก และหญิงที่เพิ่งคลอด ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานแต่น้อย ประมาณ 3 ก้อนสำหรับไลท์ทูน่า หรือ 1 กระป๋องสำหรับทูน่าขาว เพื่อป้องกันอันตรายจากสารปรอท เพราะทูน่ามีสารปรอทอยู่ในเนื้อปลาเอง ถ้ากินมาก อาจทำให้มีปรอทสะสมมากเกินไปในร่างกาย อาจทำให้เกิดผลเสียต่อระบบประสาท เช่นการตายของเนื้อสมองบางส่วน
กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลี ผักยอดฮิตของอาหารสุดแซ่บอย่างส้มตำที่ดับเผ็ดได้ดี ซึ่งอันที่จริงกะหล่ำปลีนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่ทว่า การกินกะหล่ำปลีดิบมาก ๆ อาจเป็นปัญหากับสุขภาพในระยะยาว พืชตระกูลกะหล่ำทุกตัว จะมีคุณสมบัติในการป้องกันและยับยั้งการเกิดมะเร็งได้ในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร เต้านม มดลูก รังไข่ และยังมีฤทธิ์ในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้ แต่ถ้าคุณรับประทานกะหล่ำปลีเป็นประจำ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของตับให้ทำงานดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ในกะหล่ำปลี ก็มีสาร Goitrogen อยู่มาก ซึ่งสาร Goitrogen นี้จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีนไปสร้างเป็น Thyroscine ส่งผลจะทำให้เกิดโรคคอหอยพอกได้ หากชอบกินกะหล่ำปลีประจำ ควรกินกะหล่ำปลีสุกจะดีกว่ากินกะหล่ำปลีดิบ เพราะสาร Goitrogen นี้จะถูกทำลายได้โดยการทำให้สุก ดังนั้นควรทำให้สุก และกินแต่พอดี
น้ำ
แม้แต่น้ำ ก็ไม่พ้นจากข้อครหานี้ไปได้… จริงอยู่ที่น้ำเป็นสิ่งที่ร่างกายคนเราขาดไม่ได้ แต่การดื่มน้ำมากเกินวันละ 6-7 ลิตร เพราะเสี่ยงเกิดอาการไฮโปแนทรีเมีย สมองบวมจนเสียชีวิตได้ การดื่มน้ำมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากเกินไปในเวลารวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน หรือน้ำเป็นพิษ และน้ำจะมีผลให้ธาตุโซเดียมในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะรักษาสมดุลน้ำระหว่างนอกเซลล์และภายในเซลล์ไม่ได้ ทำให้เซลล์บวมและทำให้ช็อก อาจกระตุกหรือชัก สมองบวม ปอดบวม หมดสติและเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นดื่มในปริมาณที่เหมาะสมตามปกติที่วันละ 6-8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร ดื่มอย่างพอเหมาะพอควร ก็เพียงพอสำหรับร่างกายแล้ว
เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้สาระน่ารู้เกี่ยวกับอาหารเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย รู้อย่างนี้แล้ว เวลารับประทานอาหารอะไร แม้สรรพคุณจะบอกว่าดีแค่ไหน ก็อย่าลืมทานในปริมาณที่เหมาะสมกันนะคะ อย่าลืมว่ามากไปก็ไม่ดีต่อร่างกายได้เช่นกันนะ
ที่มา : kapook