การจะเลือกกระเป๋าในแต่ละวัน ไม่ใช่แค่เพียงคำนึงถึงโอกาสการใช้งานและแมตช์กับชุดของคุณหรือไม่เท่านั้น แต่น้ำหนักของกระเป๋าที่บรรจุสิ่งของต่างๆ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องคำนึง โดยเฉพาะคนที่ชอบใส่ของเยอะๆ จนหนักกระเป๋า บางครั้งอาจจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาก็ได้ เพราะฉะนั้นน้ำหนักกระเป๋าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม แต่หนักแค่ไหนจึงจะเหมาะกับกระเป๋าแต่ละประเภท เรามีคำตอบ
กระเป๋าสะพายไหล่ (Shoulder Bag)
กระเป๋าสะพายไหล่รวมถึงกระเป๋าครอสบอดี้ กระเป๋าประเภทนี้จะถูกรับน้ำหนักโดยไหล่เพียงข้างเดียวของคุณ ไม่ว่าจะใบเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ไม่ควรที่จะหนักเกิน 10% ของน้ำหนักตัว เช่น หากคุณหนัก 50 กิโลกรัม กระเป๋าของคุณไม่ควรใส่ของต่างๆ แล้วหนักเกิน 5 กิโลกรัม ที่สำคัญ ควรเลือกสายสะพายที่มีความกว้างเหมาะสม หากกระเป๋ามีสายสะพายประเภทโซ่หรือเส้นเล็กๆ (ที่ไม่มีแผ่นรองไหล่) ยิ่งไม่ควรใส่ของให้หนัก
กระเป๋าเป้ (Backpack)
กระเป๋ายอดฮิตที่หลายคนมักคิดว่าจุของได้เยอะ จึงยัดข้าวของต่างๆ ลงไปจนหนักอึ้ง ถ้าเป็นกระเป๋าเป้สำหรับเดินทางที่ถูกออกแบบมาให้บาลานซ์กับร่างกายตอนใส่ของก็ไม่น่าห่วง แต่กระเป๋าเป้แฟชั่นทั้งหลายไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับตรงจุดนี้ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะใส่ของได้เยอะ แต่ก็ไม่ควรเกิน 20% ของน้ำหนักตัว รวมถึงความยาวของตัวกระเป๋าก็สำคัญ ส่วนก้นของกระเป๋าควรอยู่พอดีกับเอวเวลาสะพาย ถ้ามีสายที่คาดตรงเอวด้วยจะยิ่งดี
กระเป๋าโท้ต (Tote Bag)
กระเป๋าที่มีขนาดกว้าง แต่สายถือเล็ก ที่เวลาใช้งานมักจะถือข้างลำตัว คล้องแขน หรือสะพายไว้บนไหล่ น้ำหนักของกระเป๋าจึงไม่ควรเกิน 4.5 กิโลกรัม (10 ปอนด์) อีกทั้งการวางและหยิบกระเป๋าก็เป็นสิ่งสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรวางไว้บนพื้นและก้มตัวหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย เพราะอาจจะทำให้หลังของคุณได้รับบาดเจ็บโดยฉับพลัน ทางที่ดีควรวางไว้บนโต๊ะหรือชั้น เพื่อสะดวกต่อการหยิบ
กระเป๋าคลัตช์ (Clutch)
กระเป๋าถือไร้สายที่คุณต้องถือหรือหนีบไว้ใต้แขน น้ำหนักไม่ควรเกิน 2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีสายคล้องข้อมือ ประเภท Wristlet Bag สามารถมีน้ำหนักเพิ่มได้อีกนิดหน่อย แต่สิ่งที่ห้ามทำคือการหมุนกระเป๋ารอบๆ ข้อมือ เพราะเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อมือและแขนได้