Apple เพิ่งปิดตัว iPhone 16 Series ไปเมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดเข้าไทยแล้ว ความโชคดีของไทยเรา คือ ได้เป็นประเทศกลุ่มแรกที่มีการวางจำหน่าย iPhone 16 Series นี้อีกครั้ง และแน่นอนว่าเมื่อเข้าไทยแล้ว Jeab.com เราก็ไม่พลาดที่จะรีวิว iPhone ซีรีส์ใหม่ให้เพื่อนๆ ได้ดูและเก็บเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาในการเลือกซื้อกันเหมือนเช่นทุกปี
ได้ฤกษ์ยลโฉม iPhone 16 และ iPhone 16 Pro กันแล้ว ซึ่งวันนี้เราจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน 2 เครื่อง 2 สี ขอบอกว่าสีสวยมาก
- iPhone 16 สีชมพูตะโกน แบบรอบ iPhone 15 ที่แล้วมาในโทนพาสเทลมันอ่อนๆ ไป รอบนี้ขอจัดเต็มให้รู้นี่แหละสีชมพู
- iPhone 16 Pro สีไทเทเนียมทะเลทราย สีไฮไลท์เด่นของรุ่นซีรีส์นี้เลย สีออกทองแดงนิดๆ บางครั้งก็ดูทอง ซึ่งทั้งสองสีคือสวยมากๆ สวยกันไปคนละสไตล์
โดยวันนี้เราจะรีวิวคู่กันไปทั้งสองรุ่นนะคะ เพื่อให้เห็นความเหมือนและแตกต่างไปด้วยกัน รวมทั้งบางข้ออาจเป็นการหาข้อมูลมาให้เพิ่มเติมกันนะ มาดูรีวิวกันเลย…
♥ 12 ข้อสรุปรีวิวครบจบกับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro
1. #กล่องและอุปกรณ์ที่มากับเครื่อง
ตัวกล่องทั้งสองรุ่นเป็นสีขาว มีภาพเครื่องและสีด้านบน ด้านหลังก็เป็นรายละเอียดตัวเครื่องแบบปกติ ในส่วนตัวอุปกรณ์ เหมือนเช่นเคย ที่รุ่นหลังๆ มานี้ Apple จะไม่ได้ให้ adapter มาแล้ว iPhone 16 และ iPhone 16 Pro รอบนี้ก็เช่นเดียวกัน อุปกรณ์ที่มากับกล่องจะมีแค่สายชาร์จกับที่เสียบซิม และคู่มือ ใครอยากได้สติกเกอร์ที่แถมมา รอบนี้ก็ไม่มีแล้วนะ
2. #สเป็กเครื่อง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro
สำหรับ iPhone 16 มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว จอภาพ Super Retina XDR
– ด้านหน้าตัวเครื่องแบบ Ceramic Shield เจเนอเรชั่นล่าสุด และด้านหลังตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม และ กระจกแต่งสี มีด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ สีชมพู (สวยตะโกนสุดๆ ที่เรารีวิวเครื่องนี้), สีฟ้าอัลตรามารีน, สีเขียวอมฟ้า, สีขาวและสีดำ
– ส่วนความจุ มีให้เลือกตั้งแต่ 128 GB/ 256 GB/ 512 GB
ส่วน iPhone 16 Pro มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.3 นิ้ว จอภาพ Super Retina XDR เช่นเดียวกัน มีขอบจอที่บางที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์ Apple
– มีด้วยกันทั้งหมด 4 สี คือ ไทเทเนียมดำ, ไทเทเนียมขาว, ไทเทเนียมธรรมชาติ และสีไฮไลท์ของปีนี้ คือ ไทเทเนียมทะเลทราย (ที่เรานำมารีวิวนั่นเอง)
– ตัวเครื่องด้านหน้าเป็น Ceramic Shield รุ่นล่าสุด ส่วนด้านหลังแบบกระจกผิวด้าน
– มีความจุสูงสุดถึง 1 TB โดย iPhone16 Pro มีให้เลือก 4 ความจุ 128 GB, 256 GB, 512 GB และ 1TB ขณะที่ iPhone16 Pro Max เริ่มที่ 256 GB
ความรู้สึกหลังเห็นสีของทั้งสองเครื่อง ยอมรับเลยว่าชอบสีเครื่องรอบนี้มาก ทั้งสองรุ่นมาคนละสไตล์
– ในรุ่นเบสิก iPhone 16 สีชมพูรอบนี้จะแบบชมพูตะโกนให้รู้ไปเลยนี่แหละสีชมพู ซึ่งเทียบกับสีตอน iPhone 15 จะมาคนละฟีลกัน รุ่นก่อนจะเป็นโทนสีชมพูพาสเทลหวานๆ คุณหนู สีนี้จะสดใสกว่ามาก
– ขณะเดียวกัน iPhone 16 Pro กับสีไทเทเนียมทะเลทราย คือ มันออกแนวโทนสีทองแดงขอบข้างๆ จะดูเข้มกว่าโทนสีทองของปีก่อน ด้านหลังตัวเครื่องก็จะสว่างๆ กว่า ซึ่งสวยหรูติดแกรมมาก
3. #ความเร็ว ความแรงของเครื่อง
สำหรับ iPhone 16 มาพร้อมกับชิป A18 และมี CPU ที่เร็วขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับ iPhone 15ส่วน iPhone 16 Pro มาพร้อมกับชิป A18 Pro มี CPU ที่เร็วขึ้นสูงสุดถึง 15% ขณะที่ GPU เร็วขึ้น 20%เมื่อเทียบกับ iPhone 15 Pro และ Pro Max
ส่วนตัวลองใช้ทั้งสองรุ่น รู้สึกว่าทั้งคู่ ลื่นไหลและตอบสนองไว ไม่หน่วงใดๆ สำหรับสองรุ่นนี้เราไม่รู้สึกแตกต่างกันมากเท่าไร อาจเพราะไม่ใช่สายเกม เลยอาจไม่ได้โฟกัสที่จุดนี้มากนัก
4. รองรับ #AppleIntelligence ทั้ง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro
เป็นฟีเจอร์ที่หลายคนฮือฮากับความล้ำของ Apple Intelligence แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ยังไม่เปิดใช้งาน น่าจะเริ่มใช้ได้ช่วงปลายปี สำหรับอุปกรณ์ที่ตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษแบบสหรัฐอเมริกาก่อนเท่านั้น ยังไม่รองรับภาษาไทย (ในไทยอาจจะต้องรอกันหน่อย )
5. #ปุ่มAction เป็นปุ่มลัดที่เพิ่มความสะดวกได้ตามใจชอบ
รอบนี้ iPhone 16 มาพร้อมกับปุ่ม Action เหมือนกับรุ่น Pro แล้ว ซึ่งปีก่อนรุ่น iPhone 15 ยังไม่มี ในส่วน iPhone 16 Pro มีปุ่ม Action อยู่แล้ว ซึ่งก็สามารถตั้งค่าได้หลายแบบนะคะ นอกจากโหมดเงียบ ใครอยากให้เป็นปุ่มลัดเพื่ออะไร ก็สามารถเข้าไปตั้งค่ากันได้
สามารถเข้าไปตั้งค่า Action Button ได้โดยการกดที่ Settings > Action Button แล้วเลือกได้เลยว่าอยากตั้งเป็นปุ่มลัดสำหรับอะไร สามารถเลือกได้ตั้งแต่ โหมดเงียบ, โฟกัส, กล้องถ่ายรูป, ไฟฉาย, อัดเสียง, แปลภาษา, แว่นขยาย, ตัวควบคุม, คำสั่งลัด, การช่วยการเข้าถึง
6. #คุณสมบัติกล้อง
กล้อง iPhone 16
– กล้องเป็นระบบกล้องคู่ มีกล้อง Fusion 48 MP และ Ultra Wide 12 MP ตัวกล้องวางเรียงมาในรูปแบบแนวตั้ง การวางกล้องจะเหมือนกับสมัยรุ่น iPhone X ซูมแบบออปติคัลได้ 3 แบบ 0.5 X , 1X และ 2X
– ถ่ายภาพแบบ Portriat & Macro ในระยะใกล้ๆ ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้รุ่นธรรมดายังไม่มีกล้องถ่ายแบบ Macro ได้ เพราะจะไปอยู่ในรุ่น Pro แต่ตอนนี้รุ่นธรรมดาของ iPhone 16 Series ก็ถ่ายได้แล้ว
– ภาพที่ถ่ายมาแล้ว ก็สามารถครอบ หรือ ซูมดูรายละเอียดได้เห็นถึงดีเทล
กล้อง iPhone 16 Pro
– ระบบกล้องระดับโปร Fusion 48 MP, Ultra wide 48 MP และ เทเลโฟโต้ สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงได้ทั้ง 24 MP และ 48 MP การจัดวางกล้องเหมือนเดิม สามารถถ่ายภาพ Portriat และ Macro ได้ละเอียดสูงถึง 48 MP
– มีเซนเซอร์ของกล้องที่เร็วมากขึ้น
– การซูมได้ 4 ระดับ ตั้งแต่ 0.5X , 1X , 2X และ 5X ซึ่งที่ผ่านมาแล้วปกติ Apple จะใส่ซูมสูงสุด 5X มาในรุ่น Pro Max แต่สำหรับรุ่น iPhone16 Pro ปีนี้ Apple จัดเต็มสุด คุณสมบัติกล้องซูมได้ถึง 5X เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเรื่องกล้องไม่แตกต่างกัน ขึ้นกับขนาดหน้าจอแล้วล่ะ ซึ่งตรงนี้แล้วแต่ความชอบแต่ละคน
– ภาพที่ถ่ายมาแล้ว ก็สามารถครอบ หรือ ซูมดูรายละเอียดได้เห็นถึงดีเทล
7. #CameraControl ตัวควบคุมกล้อง แตะๆ ซูมๆ คลิกๆ เสร็จ
ในส่วนที่เหมือนกันของทั้งสองรุ่น อย่างที่รู้คือ Apple เพิ่มปุ่มขึ้นมาใหม่ นั่นก็คือ ปุ่ม Camera Control หรือตัวควบคุมกล้องนั่นเอง ซึ่งทั้ง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro มีปุ่มใหม่นี้เหมือนกัน
ตัวปุ่มจะอยู่ตรงด้านเดียวกับเวลาเรากดเปิดเครื่อง แต่อยู่บริเวณด้านล่างตัวเครื่อง ซึ่งเป็นเซนเซอร์แบบสัมผัสครั้งแรก ที่แค่ใช้การเลื่อนนิ้วสัมผัส ก็คอนโทรลทุกสิ่งได้ เพิ่มความสะดวกให้กับคนรักการถ่ายภาพ โดยสามารถใช้ได้ทั้งแนวตั้ง แนวนอน
หลังจากได้ลองเล่นปุ่ม Camera Control ส่วนตัวเราคิดว่าใช้กับการถ่ายภาพแนวนอน โอเคเลย เหมือนเราจับกล้องถ่ายรูปปกติ มันก็สะดวกขึ้นนะเวลาเราต้องการจะซูม หรือ เปลี่ยนการตั้งค่ากล้อง แต่กับการใช้ปุ่มนี้กับการถ่ายภาพแนวตั้ง ส่วนตัวไม่ค่อยชินเท่าไร ยังใช้ไม่ถนัด
ในส่วนของการคลิก แตะ ซูมๆ กับการกดปุ่ม Camera Control ใครยังงงๆ ก็ลองใช้วิธีทำตามนี้ดู
ทริกการใช้ Camera Control
- คลิกรอบแรกปุ๊ป เข้าสู่กล้องถ่ายรูปทันที กดอีกครั้งก็เป็นการกดชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ทันที
- ควบคุมการตั้งค่าถ่ายรูปต่างๆ เพียงแค่ใช้นิ้วเลื่อนๆ คลิกๆ เลื่อนได้ไม่สะดุดเพราะการออกแบบที่เรียบพอดีไปกับตัวเครื่องทำให้สะดวกในการเลื่อนนิ้วคอนโทรล
- กดเบาๆ และเลื่อนไปมา = ซูม เลือกระยะที่พอใจได้
- กดเบาๆ 2 ครั้ง = เข้าถึงพวกคุณลักษณะของกล้อง การเปิดรับแสง ระยะชัดลึก ระยะการซูม
- กดค้างไว้ = เปลี่ยนจากโหมดถ่ายรูปเป็นโหมดวิดีโอได้
- ควบคุมกล้องด้วยการเลื่อนนิ้วปรับค่า
ซึ่งวิธีการกดและแรงกดต่างๆ เหล่านี้ สามารถปรับแต่งได้ ที่ setting >> การช่วยการเข้าถึง >> การควบคุมกล้อง
8. #เปรียบเทียบภาพถ่าย ที่ได้จาก iPhone 16 และ iPhone 16 Pro
สรุปสั้นๆ สำหรับกล้องทั้งคู่ หลังได้ลองถ่ายภาพมา
– iPhone 16 ถ่ายภาพได้สีสวยมาก ผิวเราจะออกมาแบบสีนวลๆ หน่อย ดูสดใสดูมีเลือดฝาด ดูเป็นคนมีสุขภาพผิวดีมาก มันจะมีความฟิลเตอร์นิดๆ
– ขณะเดียวกัน iPhone 16 Pro คือ กล้องโปรขั้นเทพจริง ถ่ายชัดดีเทลละเอียดมาก ซึ่งบนความชัดก็อาจจะมีน้ำตาซ่อนอยู่ได้สำหรับใครที่ไม่อยากเน้นดีเทลมากนัก 55+ เพราะต้องยอมรับว่ากล้องโปร ก็เหมาะสำหรับภาพแบบมือโปรจริงๆ ดีเทลอะไร ความละเอียดอะไร ก็คือมาเต็มจริงๆ ถ่ายภาพมุมกว้าง ครอบมายังชัดเป๊ะอยู่ได้เลย Night Mode แม้ว่ารอบนี้ Apple จะไม่ได้มีโปรโมทมากนัก แต่ต้องบอกว่า Night mode สวยมาก ถ่ายภาพตอนค่ำ ออกมาสว่าง ไม่เหมือนกลางคืนเลย
มาดูภาพที่ถ่ายได้จริงกัน
ปล. ภาพเหล่านี้ไม่ได้มีการปรับแต่งสีสันอะไรเพิ่มเติม นอกจากปรับขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับเว็บไซต์เท่านั้น
ภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro แบบ 0.5X และ 1X
ภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro แบบ 2X และ ภาพในโหมด Portriat
ภาพถ่ายด้วยกล้อง iPhone 16 แบบ Selfie กล้องหน้า และ โหมด Selfie Portrait และ เปรียบเทียบภาพถ่าย Selfie ของ iPhone 14 Pro , iPhone 15 Pro , iPhone 16 และ iPhone 16 Pro เรียงลำดับ
ภาพถ่าย Night Mode เปรียบเทียบระหว่าง iPhone 16 และ iPhone 16 Pro
9. Skin Undertone #ปรับแต่งภาพให้เป็นเราในเวอร์ชันโทนสีที่เราที่ชอบที่สุด
ต้องบอกว่าเราเลิฟฟีเจอร์นี้มากๆ จริง เมื่อได้ลองใช้ยิ่งชอบ มันคือการปรับแต่งภาพแบบ Skin Undertone ที่มีอยู่ใน iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ทั้งสองรุ่นสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้เหมือนกันเลย ซึ่ง Apple เขาปรับสไตล์ภาพถ่ายใหม่ ทำให้เราสามารถปรับภาพในโทนผิวที่เราชอบได้สวยสมใจมากขึ้น ปรับได้ในแบบ pixel กันเลยทีเดียว
ปกติถ้าเราแต่งภาพ เราใช้ฟิลเตอร์ ภาพจะเปลี่ยนไปทั้งผิวและสีพื้นฉากหลังใช่ไหม แต่ Skin Undertone คือสามารถปรับเฉพาะสีโทนผิวเราได้ โดยที่ฉากหลังไม่ได้เปลี่ยนตามสีโทนผิว อาจมีสว่างขึ้นบ้างนิดหน่อย หรือจริงๆ อาจเพราะโทนผิวเราเปลี่ยน ภาพเลยดูปรับเล็กน้อย แต่คือไม่ได้ฟีเจอร์นี้มันจะไม่ได้เหมือนเราเอาเฉดสีมาวางเลเอ้าท์ทับไว้ประมาณนั้นน่ะ
เวลาถ่ายภาพเสร็จ เราสามารถเลือกตรงไอคอน style ด้านล่างหลังกด edit รูปได้ ซึ่งตรง style นี้ ถ้าไม่ได้อยากเปลี่ยนเฟรมโทนสีภาพทั้งหมด ให้เลือกเป็น standard ไว้นะคะ แล้วปรับเฉพาะ pixel ภาพ จะปรับเป็นโทนสี Skin Undertone ของเราได้นั่นเอง
บอกเลยว่าฟีเจอร์นี่คือแจ่มมากจริงๆ ใครมีแพลนซื้อ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ได้เครื่องมาแล้วต้องลอง!
10. #ถูกใจสายทำวิดีโอคอนเทนต์
การถ่ายวิดีโอของ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro รอบนี้ Apple มาในแบบใหม่ สามารถถ่ายและหยุดถ่ายได้ โดยยังไม่ต้องจบวิดีโอ ซึ่งน่าจะถูกใจสายคอนเทนต์ครีเอเตอร์ของหลายๆ คน รวมถึงทีม Jeab.com ด้วย เพราะสามารถถ่ายวิดีโอแล้วหยุดเปลี่ยนมุมก่อนได้ ทีนี้ก็ไม่ต้องพึ่งแอปตัดต่อแล้ว แต่สามารถตัดต่อครบจบในครั้งเดียวไปเลย
พอได้ลอง ต้องบอกว่ามันทำง่ายมากจริงๆ เราแค่ถ่ายวิดีโอเหมือนปกติเลย แต่ถ้าอยากหยุดเมื่อไหร่ ก็กดปุ่ม Pause ด้านข้าง จะเริ่มถ่ายต่อก็กดซ้ำอีกครั้งด้านข้าง ก็จะเป็นการถ่ายวิดีโออีกรอบ หรือหากคิดว่าวิดีโอที่ถ่ายมาแล้วโอเคละ พอแล้วก็กดปุ่ม stop ตรงกลาง เท่านี้ก็ได้วิดีโอแบบตัดต่อไปในคราวเดียวได้ละ
นอกจากนี้ Apple ยังเพิ่มฟังก์ชันการผสมผสานเสียงมาด้วย แบบเราสามารถเลือกปรับแต่งวิดีโอ โดยเลือกเสียงได้นะว่าจะให้เสียงของวิดีโอเป็นแบบใด
(สำหรับส่วนนี้ขอเอาภาพจาก Apple มาให้ดูกันก่อนนะคะ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น)
แบบเสียงที่อยู่ในเฟรมเท่านั้น คือ บันทึกเฉพาะเสียงของคนที่อยู่ในกล้อง ถึงแม้คนที่อยู่นอกเฟรมกล้องจะพูดอยู่ในขณะบันทึกก็ตาม
แบบสตูดิโอ คือ จะเหมือนเรากำลังบันทึกเสียงในสตูดิโอระดับมืออาชีพ แบบมีซับผนังเสียง เหมาะกับการทำ Vlog หรือ ทำ Podcast เพราะเหมือนมีไมค์จ่อที่ปากผู้พูดใกล้ๆ
แบบภาพยนตร์ คือ บันทึกเสียงทั้งหมดรอบตัวแล้วนำมารวมเข้าด้วยกัน ที่ด้านหน้าของจอ เหมือนกับการปรับเสียงเพื่อใช้ในภาพยนตร์
11. #iOS18 Customize ได้มากขึ้น ปรับแต่งสีสันให้ไอคอนแอปได้
iOS18 คือ ส่วนเสริมที่ทำให้ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro ดูน่าใช้ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะสามารถปรับแต่งเป็นสไตล์เราได้แบบที่ชอบได้ตามใจเรา ปรับสีไอคอนเป็นแบบที่ชอบเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นดีไซน์ตามต้นฉบับของ Apple ให้มา แต่ถ้าเราอยากแต่งไอคอนให้เป็นสีเข้ากับ Wallpaper ของเราเองก็ทำได้
วิธีการปรับ ให้เรากดค้างที่ app >> เลือก edit home screen จากนั้นกดด้านบนคำว่า edit >> เลือก Customize จะมีให้เลือกรูปแบบไอคอนที่เราอยากได้ จะโทนสว่าง มืด หรือ ปรับสีตามใจชอบไปเลยก็ได้
ตรง Control Center ของ iOS18 ก็ปรับแต่งใส่ฟังก์ชันที่ชอบได้มากขึ้น รวมทั้งดีไซน์แลดูมินิมอลคิ้วท์ๆ ด้วยรอบนี้
12. #จบซะทีกับ Pain Point ที่เจอมานาน ต่อไปใช้ได้สะดวกขึ้นเยอะ
ข้อสุดท้ายยังคงอยู่กับ iOS18 นิดนึง คือ เราชอบมากกกก ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกันไหม แต่เมื่อก่อนการใช้ iPhone เวลาจะปิดเครื่อง ต้องไปกดเข้า setting ถึงเข้ากดปิดเครื่องได้ แต่ iOS18 หลังอัปเดตมา นางมาพร้อมกับปุ่ม Power ให้ปิดเครื่องง่ายๆ ซะที ซึ่งมันดีมาก แก้ Pain Point ที่เราเจอได้เลย ชอบตรงนี้มากๆ ที่ใช้ง่ายขึ้นเยอะ
กับอีกจุดที่เราชอบ iOS18 ไฟฉาย ไม่ได้เป็นแค่ไฟฉายเฉยๆ เปิดแฟลชเท่านั้นแล้วนะ เวลาไฟดับทีไร เปิดไฟฉาย แสงพุ่งมาทางเดียว จะว่าสว่างก็ใช่ แต่บางทีมันก็มากไป แต่ตอนนี้ไฟฉายเขาหรี่แสงได้แล้วนะ มันเหมือนจริงมากขึ้น ไม่ใช่แค่ใช้แฟลชเท่านั้น เราสามารถปรับแสงได้ หรี่แสงได้ หรือจะให้กระจายแสงกว้างขึ้นก็ได้
เรียกได้ว่า iOS18 ช่วยแก้ Pain Point 2 ข้อนี้ได้เวิร์กเลยล่ะ
และนี่ก็เป็นรีวิวสรุปจาก Jeab.com หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ที่กำลังลังเลว่าจะเปย์ดีหรือไม่ดี จะเอารุ่นไหนกันดีนะได้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจกันนะคะ
ทั้งนี้สามารถลองไปชมเครื่องจริงที่ Apple Store กันดูก่อนได้เลยน้าาา
iPhone 16 Series เริ่มวางจำหน่าย 20 กันยายน 2567 นี้แล้ว โดยราคาเริ่มต้นสำหรับ iPhone 16 ราคา 29,900 บาท และ iPhone 16 Pro ราคา 39,900 บาท
Copyright ©Jeab.com