เรียกว่าตื่นเต้นทุกครั้งเลยทีเดียว เมื่อ Apple ออก iPhone รุ่นใหม่ออกมา ซึ่งล่าสุดคือ iPhone 15 series เปิดตัวกันไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่นานมานี้ และ ประเทศไทยเราได้เป็นประเทศใน Tier1 ที่จะได้ยลโฉมซีรีส์ iPhone 15 นี้เป็นกลุ่มแรกก่อนใครด้วย
ซึ่งต้องบอกว่ารอบนี้ ซีรีส์ iPhone 15 มาพร้อมสีที่สวยมากๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น…
iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ที่มาพร้อมกับสีโทนพาสเทลสดใส มีตั้งแต่สีดำ ฟ้า เขียว เหลือง ชมพู แลดูน่ารักไปหมด
ขณะเดียวกัน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ก็มาพร้อมกับครั้งแรกของการใช้ “ไทเทเนียม” เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ และใช้โลหะผสมแบบเดียวกับที่ใช้ในยานอวกาศสำหรับภารกิจดาวอังคาร โดยมีสีให้เลือกสวยงาม ทั้งWhite Titanium , Black Titanium, Blue Titanium และ Natural Titanium ที่ฮิตสุดๆ ไปเลย
แน่นอนว่า Jeab.com ไม่พลาดที่จะนำมารีวิวให้เพื่อนๆ ของเราได้ดูก่อนใคร โดยวันนี้เราจะมารีวิว iPhone 15 สีชมพู และ iPhone 15 Pro สี White Titanium หรือสีขาว แบบจัดเต็มเหมือนทุกครั้งให้ได้ชมกัน
แต่ก่อนจะไปอ่านรีวิว #ป้ายยา iPhone 15 นั้น มาดูสรุปคุณสมบัติของแต่ละรุ่นกันก่อนดีกว่า ใครถูกใจรุ่นไหน ไปสอยกันได้ เพราะจากที่เรารีวิวมา อยากบอกว่ามันเริ่ดทั้งสองรุ่นเลยนะ อยู่ที่การใช้งานของแต่ละคนว่ารุ่นธรรมดา หรือ Pro จะตอบโจทย์เพื่อนๆ ได้มากกว่า
iPhone 15
คุณสมบัติ
- ขนาดหน้าจอ 1 นิ้ว จอภาพแบบ Super Retina XDR น้ำหนักตัวเครื่อง 171 กรัม
- ด้านหน้าเป็น Ceramic Shield ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากระจกไหนๆ และด้านหลังเป็นอะลูมิเนียมที่มาพร้อมกับกระจกแต่งสี เป็นอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ แถมพื้นผิวด้านหลังจะเป็นแบบด้านด้วย สวยมาก
- มีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีดำ ฟ้า เขียว เหลือง ชมพู และ มาพร้อมกับความจุให้เลือกทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 128 GB, 256 GB และ 512 GB
- ครั้งนี้ iPhone 15 รุ่นธรรมดา มี Dynamic Island คอยแจ้งเตือนสิ่งสำคัญต่างๆ ที่เราสนใจให้ไม่พลาดเรื่องใดๆ แม้ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เหมือนรุ่น iPhone 14 Pro ที่ผ่านมาแล้ว
- ปุ่มเปิด-ปิดเสียงยังคงเป็นแบบเดิม คือ เป็นปุ่มเลื่อนขึ้นลง
- ใช้ชิป A16 Bionic มี CPU แบบ 6 Core , GPU แบบ 5 Core และ Neural Engine แบบ 16-core
- ระบบกล้องคู่สุดล้ำ มาพร้อมกล้องหลัง 48 MB และ กล้องอัลตร้าไวด์ โดยสามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดถึง 2 แบบ คือ 24MB และ 48 MB และมีการถ่ายภาพPortrait แบบใหม่
- มาพร้อมกับ IOS 17 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพียบ
- สามารถใช้สายชาร์จแบบ USB-C (รองรับ USB 2) ได้แล้ว
iPhone 15 Pro
คุณสมบัติ
- ขนาดหน้าจอ 1 นิ้ว จอภาพแบบ Super Retina XDR มาพร้อมกับเทคโนโลยีProMotion หน้าจอติดอยู่ตลอดเวลา
- น้ำหนัก 187 กรัม ซึ่งถือว่าเบาที่สุดในบรรดารุ่น Pro ที่ผ่านมา เนื่องจากวัสดุในครั้งนี้ทำมาจากไทเทเนียม ซึ่งอย่างที่หลายคนทราบดี ไทเทเนียม ถือเป็นหนึ่งในโลหะที่มีอัตราส่วนความแข็งแกร่งต่อน้ำหนักดีที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด ทำให้รุ่นนี้ทั้งเบาและแข็งแกร่งที่สุดกว่าที่เคยมีมา
- มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ White Titanium, Black Titanium, Blue Titanium และ Natural Titanium มาพร้อมกับความจุให้เลือกทั้งหมด 4 ขนาด ได้แก่ 128 GB, 256 GB, 512 GB และ 1TB
- ครั้งแรกของ iPhone ที่ไม่มีปุ่มเปิดปิดเสียงแบบเคย แต่กลายเป็น action button ที่สามารถเลือกตั้งค่าได้เองว่าจะให้กลายเป็นปุ่มลัดสำหรับอะไรบ้าง เช่น กดเปิดปิดเสียง เปลี่ยนเป็นกดเปลี่ยนโหมดโฟกัส หรือ กดเป็นทางลัดต่างๆ ที่ต้องการ
- ขอบหน้าจอมีดีไซน์ขอบแบบคอนทัวร์ เหมือนเป็นชิ้นเดียวกันเลย และ มีขอบจอที่เล็กที่สุดตั้งแต่มีมาใน iPhone เลย
- ใช้ชิป A17 Pro มี CPU แบบ 6 Core , GPU แบบ 6 Core และ Neural Engine แบบ 16-core ทำให้การใช้งานเครื่องลื่นไหลเร็วไม่ติดขัด
- ระบบกล้องระดับโปร มีด้วยกัน 3 กล้อง คือ กล้องหลัก 48MP, กล้องอัลตร้าไวด์ และ เทเลโฟโต้ สามารถถ่ายภาพความละเอียดชัดได้ถึง 24 MP, 48MP และมีการถ่ายภาพPortrait แบบใหม่
- มาพร้อมกับ IOS 17 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพียบ
- สามารถใช้สายชาร์จแบบ USB-C (รองรับ USB 3) ได้แล้ว
ทราบคุณสมบัติคร่าวๆ ของแต่ละรุ่นกันแล้ว…พร้อมดูรีวิวแล้วหรือยัง?
มาดูกัน รีวิว iPhone 15 และ iPhone 15 Pro กันได้เลย…
แพ็กเกจและตัวเครื่อง
iPhone 15 และ iPhone 15 Pro มาพร้อมกับแพ็กเกจจิ้งกล่องสีขาว มีรูป iPhone ของแต่ละรุ่น ตามด้วยสีของเครื่อง
และเหมือนกับรุ่น iPhone 14 ก็คือ รอบนี้จะไม่มี adapter มาให้แล้ว แต่มาพร้อมกับสายชาร์จแบบใหม่ คือ USB-C โดยตัวสายเป็นแบบสายถัก
ตัวเครื่องทั้งสองรุ่น ขนาดเท่ากันเลย 6.1 นิ้ว ขนาดกำลังพอดีมือ ถือใช้งานได้ ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป ถือได้ถนัดมือ แต่ของ iPhone 15 จะเบากว่า ขณะที่ iPhone 15 Pro แม้จะหนักกว่าด้วยความที่มีกล้องมากกว่า แต่ก็ถือว่าถ้าเทียบกับ iPhone 14 Pro รุ่น Pro แบบเดียวกัน เบากว่ากันมาก
อีกทั้งหน้าจอของ iPhone 15 Pro ครั้งนี้ ถูกดีไซน์มาเป็นแบบคอนทัวร์ ให้เป็นขอบจอบางที่สุด ทำให้รู้สึกว่ามันมนกว่าแบบเดิมเยอะเลยล่ะ ลองสังเกตจากภาพด้านบนนี้กัน ด้านซ้ายจะเป็น iPhone 14 Pro เราจะมองเห็นขอบขึ้นมานิดนึง แต่ในขณะที่ด้านขวา iPhone 15 Pro ขอบดูบางและมีความละมุนดูกลืนเป็นชิ้นเดียวกันมากกว่า
และ iPhone 15 มาพร้อมกับปุ่มสวิตซ์ เปิด-ปิด เสียง เหมือนเดิม แต่ iPhone 15 Pro มาใหม่พร้อมกับปุ่มที่เรียกว่า Action Button ที่สามารถ Customize ปุ่มให้เป็นทางลัดที่ต้องการได้
โดยการตั้งค่า ก็สามารถเข้าไปที่ setting และเลือก Action Button และ เลือกตั้งค่าว่าจะให้ปุ่มนี้ทำงานได้ตามที่เราต้องการ
ซึ่งตรงนี้ก็จะมีให้เลือกเยอะเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มลัดสำหรับ…
- เปิด-ปิดเสียงปกติ
- เปลี่ยนเป็นโหมด Focus
- เป็นไฟฉาย
- อัดเสียง
- Translate
- แว่นขยาย
- หรือทำเป็น shortcut ก็ได้
ใครใช้ iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max ลองไปตั้งค่าดูได้เลยนะ
ที่นี่ เรามาดูภาพที่ถ่ายจากกล้อง iPhone 15 และ iPhone 15 Pro กันต่อ
Recap กันอีกสักรอบ ตามคุณสมบัติของกล้อง iPhone 15 และ iPhone 15 Pro จะเป็นดังนี้
- iPhone 15 มาพร้อมกับระบบกล้องคู่สุดล้ำ มาพร้อมกล้องหลัง 48 MB และ กล้องอัลตร้าไวด์ โดยสามาราถถ่ายภาพได้ความละเอียดถึง 2 แบบ คือ 24MB และ 48 MB และมีการถ่ายภาพ Portrait แบบใหม่ รวมทั้งมีกล้องหน้า TrueDepth 12 MP
- iPhone 15 Pro มาพร้อมระบบกล้องระดับโปร มีด้วยกัน 3 กล้อง คือ กล้องหลัก 48MP, กล้องอัลตร้าไวด์ และ เทเลโฟโต้ สามารถถ่ายภาพความละเอียดชัดได้ถึง 24 MP, 48MP และมีการถ่ายภาพ Portrait แบบใหม่ รวมทั้งมีกล้องหน้า TrueDepth 12 MP
- Night Mode ของทั้ง 2 รุ่นก็สามารถทำได้ดีทีเดียว ในพื้นที่ที่แสงน้อยมากๆ กว่าเดิม ก็ยังสามารถเห็นดีเทลได้ชัด ลองมาดูกันที่ภาพที่ถ่ายได้ด้านล่างนี้ได้เลย
- Portrait เป็นแบบใหม่ที่สามารถเข้าไปปรับการตั้งค่าได้เอง และไม่จำเป็นต้องถ่ายโหมด Portrait เท่านั้น เพราะ iPhone จะเลือกบันทึกข้อมูล
ระยะชัดลึกให้อัตโนมัติ โดยเราสามารถปรับการตั้งค่าเองได้ เพื่อให้เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาเป็นภาพแบบเบลอๆ หรือ ค่อยมาปรับการตั้งค่าที่หลังที่แอปรูปภาพก็ได้
**หมายเหตุ : ภาพต่อจากนี้ที่ถ่ายโดย iPhone 15 และ iPhone 15 Pro จะไม่ได้มีการปรับสี แสง ใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแต่ปรับขนาดเท่านั้น **
ภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 15
- ภาพถ่ายปกติ ด้วยแสงธรรมชาติ
- ภาพถ่ายปกติ กล้องหน้า โหมดเซลฟี่ แสงธรรมชาติในห้อง
- ภาพถ่ายตอนกลางคืน โหมดแสงน้อย (ถ่ายช่วงเวลาหนึ่งทุ่ม และ ช่วงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบนาที)
ภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 15 Pro
- ภาพถ่ายปกติ ด้วยแสงธรรมชาติ (1x) และ ภาพที่ crop ซูมเข้ามา
- ภาพถ่ายปกติ ด้วยแสงธรรมชาติ (3x)
- ภาพกล้องหน้า โหมดเซลฟี่ แสงธรรมชาติ และ ภาพถ่าย Portrait ด้วยกล้องหน้า แสงธรรมชาติ จะเห็นว่าภาพ Portrait จะมีความเบลอพื้นหลัง แตกต่างจากภาพเซลฟี่ปกติ
- ภาพถ่ายแบบมาโคร แสงธรรมชาติ จะเห็นว่าภาพที่ถ่ายออกมา เห็นดีเทลชัดมาก แม้กระทั่งพวกฝุ่นที่เกาะอยู่
- ภาพถ่ายตอนกลางคืน โหมดแสงน้อย (ถ่ายช่วงเวลาหนึ่งทุ่ม และ ช่วงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบนาที)
เปรียบเทียบภาพถ่ายตอนกลางคืนของ iPhone 15 และ iPhone 15 Pro
จากภาพถ่ายของทั้ง 2 รุ่น Night Mode ดีขึ้นมากๆ เลยทีเดียว เราเลยลองเอามาเทียบกันให้เพื่อนๆ ได้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่น iPhone 15 และ iPhone 15 Pro กันชัดๆ มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาพที่ถ่ายช่วงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบนาทีของเช้าวันใหม่ ที่ฝนกำลังตกหนัก ขณะเดียวกันหากมองด้วยตาเปล่าจริงๆ ท้องฟ้าจะมืดมากของทั้ง 2 รุ่นทำออกมาได้ดีมากๆ เลยทีเดียว รายละเอียดของภาพยังคงเก็บดีเทลได้ชัดเจน แม้ว่าจะมีแสงน้อยมากๆ แต่ภาพที่ได้กลับดูสว่างเหมือนแค่ช่วงหัวค่ำเอง มองเห็นดีเทลแม้กระทั่งพื้นที่เปียกน้ำ หรือ แม้กระทั่งน้ำที่ตกลงมาจากกันสาดของหลังคา
นอกจากคุณสมบัติของ iPhone 15 และ iPhone 15 Pro ที่เรารีวิวไปข้างต้นแล้ว การทำงานระหว่างรุ่น iPhone 15 Series ร่วมกับ iOS17 ที่ออกมาใหม่ ก็ทำให้รุ่นนี้โดดเด่นขึ้นไปอีก ใน iOS17 มีฟีเจอร์เด่นๆ หลายตัวเลยที่มาใหม่และน่าสนใจ
♦ ฟีเจอร์ Name Drop
เราขอยืมภาพจาก Apple มาอธิบายฟีเจอร์นี้ให้ก่อนแล้วกันนะ จะเป็นตามภาพด้านล่างเลยล่ะ
สำหรับฟีเจอร์นี้ อยากให้นึกภาพเดินชิลๆ เจอคนรู้จัก อยากแลกคอนแทค แต่ลืมนามบัตร นี่คือนามบัตรที่ถูกเก็บไว้ใน iPhone เราสามารถแชร์คอนแทคได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ iPhone 15 Series มาไว้ใกล้กัน หรือ กับเครื่องที่อัพดท iOS17 แล้วนะ แต่สำหรับใครที่กังวลว่าจะถูกแชร์คอนแทค เดี๋ยวจะสปาร์กกันไปเรื่อยตลอดเวลาที่ iPhone ใกล้กัน เราแนะนำว่าเข้าไปปิดฟีเจอร์นี้ก่อนนะคะ แล้วค่อยเปิดเมื่อเราต้องการแชร์คอนแทคให้กับคนที่ต้องการจะดีกว่า
โดยสามารถเลือกต้ังค่าปิดการแชร์ได้เช่นกัน เข้าไปที่ Setting > AirDrop >เลือกปิด Bringing Devices Together
หรือถ้าอยากจะออกแบบเพิ่มเติม ทำเป็น Contact Poster ก็ทำได้นะ แต่งชื่อ ดีไซน์ออกแบบในสไตล์ที่เราต้องการเหมือนตัว Wallpaper ของ iOS16
ก่อนจะเริ่มใช้ NameDrop อย่าลืมเข้าไปตั้งค่ากันก่อนนะคะ ที่ setting > contact> my info ตั้งค่าข้อมูลของเรา รวมทั้งยังปรับแต่งใส่ภาพ ใส่ชื่อ ได้
เมื่อเวลาเราจะแชร์ contact ก็เอาไอโฟนมาวางกับอีกเครื่องที่ใช้ iOS 17 เหมือนกันและมีการตั้งค่า my info แล้ว จะมีปุ่มให้เลือกกด 2 ปุ่ม คือ Received only กับ Share ก็เลือกได้เลยค่า ว่าจะกดรับคอนแทคจากอีกฝ่ายอย่างเดียว หรือ อยากแชร์ของตัวเองด้วย
♦ ฟีเจอร์ Standby
อีกไฮไลท์ที่เราชอบของ iOS17 นั่นก็คือ iPhone ไม่ได้เป็นแค่ iPhone อย่างเดียว แต่ถ้าอยากให้เป็น ปฏิทิน นาฬิกา หรือของแต่งบ้าน ก็เป็นให้ได้ด้วยฟีเจอร์ Standby ของ iOS17
ด้วยความที่ปกติชอบดูซีรีส์ผ่าน iPhone บางทีก็จะชอบวางโทรศัพท์แนวนอนทิ้งเอาไว้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าวางเฉยๆ มันก็จะหน้าจอนิ่งๆ ใช่ไหมคะ แต่ iPhone 15 Pro จะเป็นหน้าจอแบบติดตลอดเวลา ดังนั้นเวลาที่เราวาง iPhone 15 Pro แนวนอน และ เชื่อมต่อกับสายชาร์จอยู่ หน้าจอจะเข้าสู่โหมด Standby แสดงหน้าจอเป็น Widget ที่เราต้องการได้ด้วย
(ตั้งค่าได้ที่ Setting > Standby)
ถ้าต้องการเปลี่ยน Widget บนหน้าจอ ก็สามารถกดค้างที่ Widget ที่แสดงผลอยู่แล้ว Edit ได้เลย
♦ มี Widget รูปภาพแล้วนะ!
นอกจากนี้ยังมี Widget รูปภาพมาให้แล้วนะใน iOS17 ถ้าเป็น iOS รุ่นก่อนหน้า ตัวWidget ที่สามารถเลือกได้ จะยังไม่มีรูปภาพ ทำให้เวลาเราอยากจะได้ภาพมาประกอบ สำหรับใครที่ชอบแต่งหน้าจอ ก็อาจจะต้องใช้แอปพลิเคชันสำหรับทำ Widget มาเป็นตัวช่วย แต่ตอนนี้ใน iOS17 มีให้แล้ว
♦ ทำ Sticker แบบง่ายๆ ไว้ใช้แชทได้ด้วย!
นอกจากมีฟีเจอร์ Standby แล้ว อีกฟีเจอร์น่าสนใจของ iOS17 คือ เราสามารถสร้างสติกเกอร์ไว้คุยใน iMessage ด้วยการใช้ภาพเราหรือภาพถ่ายที่เราทำได้แบบง่ายมากๆ เพียงแค่เรากดที่ตัว Object ที่เราต้องการ แล้วกด Add Sticker ก็จะได้เป็นสติ๊กเกอร์ในคอลเลคชันให้เราใช้ส่งในแชทได้แล้วล่ะ
และนี่ก็คือรีวิว iPhone 15 และ iPhone 15 Pro ทั้งหมดจาก Jeab.com ในวันนี้ สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ ราคาสำหรับ iPhone 15 จะเริ่มต้นที่ราคา 32,900 บาท และ iPhone 15 Pro เริ่มต้นที่ราคา 41,900 บาท เริ่มวางจำหน่ายวันแรกในวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 นี้ ก็สามารถไปช้อปกันได้ ที่ www.apple.com หรือ Apple Store
Copyright © Jeab.com