ในที่สุด iPhone 13 รุ่นใหม่ก็มาให้เราได้ยลโฉมแล้วววววววว! ตั้งแต่ Apple Event 2021 เปิดตัวiPhone 13 ไปเมื่อเดือนก่อน โดยซีรี่ส์ iPhone 13 นี้ ออกมาทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 13 mini, iPhone 13 , iPhone 13 PRO และ iPhone 13 PRO Max แถมยังรองรับความจุสูงสุดถึง 1TB เก็บข้อมูล รูปภาพ หนัง วิดีโอ เกมส์ ต่างๆ ได้จุใจไปเลย
อีกทั้งมาพร้อมกับชิปสมาร์ทโฟนที่เร็วที่สุดอย่าง A15 Bionic ทำให้ใช้งานแล้วลื่นปรืด~ ลื่นปรืด~ และกล้องจัดเต็ม สามารถถ่ายรูปแบบมาโครได้แล้ว รวมไปถึงอัพเกรดถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic (โหมดภาพยนตร์) ได้ด้วย จะโฟกัสคนด้านหน้า หรือ โฟกัสคนด้านหลัง ก็ทำได้ไปพร้อมๆ กัน และยังสามารถมาปรับแก้ทีหลังได้ด้วย เรียกได้ว่าใครเป็นสายกล้องน่าจะถูกใจสิ่งนี้ เพราะการถ่ายภาพและวิดีโออะไรก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แน่นอนว่าเราเองก็คอยอัพเดทเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน และเมื่อมีโอกาสได้สัมผัสเครื่องจริง จึงไม่พลาดที่จะมารีวิวในแบบฉบับคนใช้งานจริงๆ กันค่า ซึ่งวันนี้เราจะมารีวิวด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ในตระกูล iPhone 13 นี้กัน นั่นก็คือ iPhone 13 mini สีชมพู และ iPhone 13 PRO สีทองนั่นเอง
แวบแรกที่เห็นและได้สัมผัส iPhone 13
- iPhone 13 mini : เครื่องขนาดเล็ก กะทัดรัด แต่รอบนี้มากับสีที่คิ้วท์มากอย่างสีชมพู คือ ขอกรี๊ดดังๆ ให้สีนี้ น่ารักมาก เห็นในภาพโฆษณา คือ สีมันจะพาสเทอลๆ แต่เอาเข้าจริง ตัวเครื่องคือสีคิ้วท์มากเว่อร์ เป็นชมพูอ่อนๆ ใสๆ ดูหวานน่ารักมาก เลนส์กล้องวางแนวทแยง แตกต่างจาก iPhone 12 mini ที่ผ่านมา
- iPhone 13 PRO : ขนาดเครื่องกำลังดี ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ถือได้ถนัดมือ สีทอง เป็นสีที่เราใช้ประจำเลย ซึ่งสีนี้ ไม่ได้ให้ฟีลทองจ๋าอยู่แล้ว แต่ดูอมชมพูกึ่งๆ Rose gold บางที ในความคิดเรา ซึ่งเราก็ชอบโทนนี้อยู่แล้ว สวยงามตามท้องเรื่อง แต่ที่เห็นชัดว่าโดดเด่นแตกต่างจาก iPhone 12 PRO เลยคือกล้อง เลนส์กล้องใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
สรุปคุณสมบัติเครื่องทั้ง 2 รุ่น ก่อนไปดูรีวิว
iPhone 13 mini
- โดดเด่นด้วยดีไซน์ขอบแบนที่ดูเพรียวบาง ขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว (แนวทแยง)
- มีระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนiPhone
- มีกล้องไวด์ใหม่พร้อมพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล(OIS) ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น
- สามารถปรับแต่งกล้องในสไตล์ของตัวเองอย่าง“สไตล์ภาพถ่าย”
- ถ่ายวิดีโอในโหมด Cinematic ได้ หน้าชัด หลังเบลอ เลือกโฟกัสได้เหมือนถ่ายภาพยนตร์
- มาพร้อมกับชิป A15 Bionic ที่เร็วสุดขั้วและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม
- แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น
- จอภาพSuper Retina XDR ที่สว่างขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา
- ด้านหน้าแบบCeramic Shield ที่แข็งแกร่งทนทาน
- พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น128GB สำหรับรุ่นเริ่มต้น
- ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับIP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม และมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำ
iPhone 13 PRO
- มีการออกแบบใหม่ตั้งแต่ภายในจรดภายนอก
- จอภาพSuper Retina XDR® แบบใหม่หมดพร้อมด้วย ProMotion®
- มีระบบกล้องระดับโปรที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมาทั้งกล้องอัลตร้าไวด์ ไวด์ และเทเลโฟโต้ใหม่ ซึ่งสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างสวยงามน่าทึ่ง
- มีชิปA15 Bionic ให้การใช้งานลื่นไหลไม่สะดุด iPhone 12 Pro ว่าลื่นแล้ว รุ่นนี้ลื่นกว่า
- สามารถถ่ายภาพแบบมาโคด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ใหม่และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดีขึ้นสูงสุด
- ถ่ายโหมดกลางคืนออกมาได้สวยมาก และมี”โหมด Cinematic หรือ โหมดภาพยนตร์” ที่จะเปลี่ยนมิติระยะชัดลึกอย่างสวยงาม รวมทั้งมีเวิร์กโฟลว์ระดับโปรในแบบ Dolby Vision ตั้งแต่ต้นจนจบ
- เป็นครั้งแรกที่รองรับProRes ด้วย ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น
- มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุใหม่สูงสุดถึง 1TB
- ด้านหน้าแบบCeramic Shield ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ อีกด้วย
- ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับIP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม และมอบประสบการณ์ 5G สุดล้ำ
รีวิว iPhone 13 mini และ iPhone 13 PRO
หลังจากได้ลองใช้มาสักพัก iPhone 13 mini คือ เหมาะกับคนชอบหน้าจอเล็ก แต่ความลื่นไหลการใช้งาน ลื่นปรืด ดีจริงๆ เวลาอ่านอะไรใน Safari คือ ไม่รู้สึกถึงความหน่วง เรื่องกล้องก็ทำได้ดีไม่แพ้ iPhone 13 PRO เดี๋ยวเราจะพาไปดูภาพที่ถ่ายจากทั้งสองรุ่นนี้เทียบกัน
ส่วน iPhone 13 PRO เป็นรุ่นที่ทำมาขนาดพอดีมือมากๆ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ไป ที่สำคัญคือรอบนี้ ความแตกต่างจาก PRO Max มีน้อยมาก ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ว่า PRO Max ถ่ายรูปเป็นยังไงบ้าง แต่เมื่อลองเทียบสเป็กในเว็บ apple.com แล้ว คือ แตกต่างกันที่ส่วนของระยะเวลาของแบตเตอรี่ และ ขนาดหน้าจอ ซึ่งเรื่องกล้อง รอบนี้ถือว่าทำมาได้เหมือนกันเลย แบ่งแยกกันที่ขนาดหน้าจอ แต่ “โปร” เหมือนกันเลยจ้ะ
ตัวแพ็กเกจจิ้ง เหมือนเดิมกับ iPhone 12 คือ ถ้ารุ่นธรรมดา จะมากับกล่องสีขาว และ รุ่น PRO จะมากับกล่องสีดำ ด้านหน้ากล่องมีรูปเครื่องและสีของตัวเครื่องติดอยู่ ด้านในมาพร้อมกับสายชาร์จ แต่ไม่มีตัวAdapter ให้
โหมดของกล้องอาจจะรีวิวเยอะหน่อย เพราะเชื่อว่าหลายคนสนใจส่วนนี้กันไม่น้อย และ Apple เองก็อัพเกรดกล้องทั้ง iPhone 13 mini และ iPhone 13 PRO ออกมาได้ดีมากๆ ทั้งสองรุ่น
มีโหมดปรับแต่งโทนสีภาพขณะที่ถ่ายได้เลยว่าอยากได้ภาพโทนสีแบบไหนได้ด้วย จะคล้ายๆ มีเลนส์ครอบสิ่งที่เราถ่ายอีกที แต่โทนสีจะเปลี่ยนไปให้เราสไลด์ไปทางซ้ายขวา เลือกโทนที่ต้องการ
*** สำหรับภาพต่อจากนี้ จะไม่ได้มีการปรับแต่งสีภาพในคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด ใช้เพียงฟีเจอร์จากกล้องของ iPhone 13 ทั้ง 2 รุ่นเท่านั้น แต่มีการปรับขนาดให้ขนาดให้เหมาะสมกับขนาดที่เว็บไซต์ใช้งาน ***
ภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 13 mini
♠ ถ่ายภาพในโหมดปกติ แสงธรรมชาติ แบบ 1x และ 0.5 x
ภาพพอซูมเอ้าท์ออกมา คือทำให้บรรยากาศได้มุมกว้างขึ้น สวยดีทีเดียว
♠ ถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait และ ถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้า ในแสงธรรมชาติ
ภาพทั้ง 2 รูปนี้ คือ อยากให้สังเกตดู ตรงเส้นผมของนางแบบจ้า งานนี้กล้องชัดขนาดเห็นเส้นผมได้เป็นเส้นๆ เก็บดีเทลได้ดีมากเลยล่ะ
♠ ถ่ายภาพด้วยโหมดธรรมดา ปรับโทนสีของภาพ : สดใส
อีกฟีเจอร์น่าสนใจของกล้อง iPhone 13 คือ สามารถเลือกโทนสีปรับแต่งตั้งแต่ตอนกดถ่ายรูปได้เลย จะโทนมาตรฐาน , สดใส ,มีความต่างระดับสีสูง, อุ่น หรือ โทนเย็น ก็ได้ หน้าจอเครื่องจะแสดงให้เห็นเหมือนเราใส่เลนส์ฟิลเตอร์เพิ่มขึ้นมาก่อนถ่ายด้วย และถ่ายออกมาก็จะเป็นสีที่แตกต่างกัน
♠ ภาพความแตกต่างระหว่างโทนสีมาตรฐาน กับ โทนสีสดใส
♠ ภาพตอนกลางคืน Night Mode เวลาที่แสงน้อย
ทำออกมาได้ดี เราลองถ่ายตอนที่ฟ้ามืดสนิทมากๆ เพราะฝนตกหนัก แต่นี่คือสิ่งที่ได้
“มาต่อที่ภาพจากกล้อง iPhone 13 PRO กันบ้าง”
ภาพถ่ายจากกล้อง iPhone 13 PRO
♠ ถ่ายภาพด้วยโหมดธรรมดา (0.5x) และ (1x) ปรับโทนสีของภาพ : โทนเย็น
เราสามารถเช็กข้อมูลภาพที่ถ่ายมาได้ด้วยนะว่า ถ่ายมาจากการตั้งค่าโทนสีแบบไหน โดยการเข้าที่รูปถ่าย แล้วก็สไลด์หน้าจอขึ้น จะโชว์ข้อมูลการถ่ายภาพรูปนั้นๆ ออกมาด้วยล่ะ ซึ่งจริงๆ ตรงนี้เราเองไม่แน่ใจว่ามีมานานแล้วหรือเปล่านะ แต่เผื่อใครยังไม่รู้ จะลองเช็กดูภาพที่ถ่ายมาอีกครั้งก็ได้ หากชอบการตั้งค่าแบบไหน แล้วจำไม่ได้ว่าเราถ่ายอะไรไป
♠ ถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait แสงธรรมชาติ และ ถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้า ปรับโทนสีสดใส
♠ ถ่ายภาพด้วยโหมดธรรมดา แบบมาโคร ในเวลากลางคืน แสงน้อย และ ในเวลาเย็น แสงธรรมชาติ
สังเกตหยดน้ำที่เกาะบนกลีบดอกไม้สิ คือมันเก็บดีเทลได้ดีมากๆ เลย ภาพออกมาสวย สมจริง และเหมือนถ่ายจากกล้องโปรมาก แถมภาพที่ถ่ายตอนแสงน้อย คือ ถ่ายตอนฟ้ามืด แต่กลับได้ภาพที่ดูสว่าง แต่สมจริงไปอีก ขณะที่ภาพในเวลาเย็น แสงธรรมชาติ ฟ้าสดใส คือ เก็บรายละเอียดขอบใบออกมาได้อย่างชัดเลย
♠ ภาพตอนกลางคืน Night Mode เวลาที่แสงน้อย
♠ เปรียบเทียบเวลาถ่ายภาพตอนกลางคืน แสงน้อย ระหว่าง iPhone 13 mini และ iPhone 13 PRO
♠ รูปแบบการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic
แม้ว่ารีวิวนี้ เราจะยังไม่ได้ลองถ่ายโหมดนี้ แต่ดูจากตัวอย่างของทาง Apple คือเป็นอีกโหมดที่จัดว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นเลยทีเดียว คงถูกใจสายถ่ายวิดีโอ เพราะทำให้สะดวกสบายในการถ่ายทำได้มากขึ้น ด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็ทำออกมาได้สมจริง
ใช้เครื่องเดิมดี หรือ เปลี่ยนเครื่องใหม่ดีนะ?
สำหรับใครที่กำลังลังเลว่า จะเปลี่ยนดีมั้ยนะ ถ้าหากใครเคยใช้รุ่นเก่าก่อนซีรี่ส์ iPhone 12 บอกเลยว่ารุ่น iPhone 13 นี้ ความลื่นไหลในการใช้งาน ใช้ได้ไม่สะดุด สมกับชิปที่เร็วที่สุดของ Apple ในเวลานี้ iPhone 12 ว่าลื่นแล้ว 13 มา ลื่นกว่า โดยสำหรับใครที่เคยใช้รุ่นตั้งแต่ iPhone 11 ลงไป ถือว่าเป็นการอัพเกรดที่ก้าวกระโดดอยู่นะ
แต่หากใครที่ใช้ iPhone 12 อยู่ตอนนี้ จากคนที่เคยใช้ iPhone 12 PRO มาก่อนแบบเรา รุ่นนี้ กล้องอัพเกรดกว่าเดิม ถ่ายภาพได้สวยมากจริงๆ คือ ดีเทลอะไร คุณเค้าเก็บครบหมด โดยเฉพาะการถ่ายแบบมาโคร ประทับใจเรามาก ภาพออกมาสวยงาม ยิ่งใครชอบถ่ายพวกดอกไม้ ต้นไม้ อาหาร คือ ทำออกมาได้ดี เพราะเราแทบไม่ได้ต้องกดซูมใดๆ ปกติเวลาซูม ก็อาจทำให้ภาพแตกได้ใช่มั้ย แต่สำหรับการถ่ายภาพมาโครแบบนี้ เพียงแค่เอา iPhone ไปใกล้กับภาพที่ต้องการถ่ายแบบมาโคร ก็สามารถเก็บรายละเอียดในภาพออกมาได้ครบแล้ว
ซึ่ง Apple ก็ได้ฤกษ์เปิดวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 8 ตุลาคม 2564 นี้กันแล้ว ซึ่งนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสิทธิภาพ iPhone 13 ทั้งสองรุ่นที่เราหยิบมารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน แต่หากใครอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองกันดูนะคะ แวะไปลองเล่น ใช้งานของจริงกันดูได้ที่ช้อปและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Apple กันได้เลย
Copyright © Jeab.com